พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หอบหลักฐานคดีน้องชมพู่ แจงกมธ.การกฎหมาย ทุกข้อสงสัย ยันทำตามกรอบกฎหมาย ไม่ทำตามกระแสโซเชียล
ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)ในฐานะที่เป็นหัวหน้าชุดดูแลคดี
เพื่อชี้แจงข้อร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องในการสืบสวนสอบสวนคดีน้องชมพู่
ในจ.มุกดาหาร
พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ข่าวในคดีดังกล่าว
เพราะคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคล โดยเด็กหายวันที่ 11 พฤษภาคม และพบศพวันที่ 14
พฤษภาคม แม่ได้ไปร้องทุกข์ว่ามีการพรากผู้เยาว์ จึงทำให้มีการสืบสวนสอบสวน
เนื่องจาก เราพบวัตถุพยานหลายอย่างจากร่างกาย ลักษณะเป็นเส้นผม
หรือเส้นขนต่างๆจึงเชื่อว่าจะสามารถสกัดออกมาได้ จึงมีการตรวจพบDNA
เพื่อตรวจสอบว่ามีใครเข้าไปในพื้นที่ได้
โดยในหมู่บ้านมีคนจำนวน 278 คน แต่มีการเรียกคนจำนวน 900 กว่าคน
เพราะต้องการไปซักถาม แต่ไม่ได้เป็นพยานทั้งหมด
หากใครให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ก็จะมีการสอบปากคำเข้าพยาน ซึ่งมีเพียง 63 ราย
จาก 900 กว่าราย ที่ถูกบันทึกปากคำอยู่ในสำนวน
และไม่มีการบังคับใดๆและวันเวลาที่ไปพบก็เอาตามความสะดวกของผู้ในปากคำ
สำหรับการตรวจเก็บDNAก็ทำตามวิอาญาทุกอย่างเก็บโดยผ่านเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมทั้งหมด
และมีบันทึกความยินยอมทั้งหมด
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ประเด็นบนโซเชียลนั้นควบคุมไม่ได้
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานตามพยานหลักฐานชัดเจน ไม่ใช่ตามกระแสข่าว
สำหรับการตรวจศพเกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ ที่โรงพยาบาลดงหลวง
และรพ.อุบลราชธานีและอีกโรงพยาบาลคือโรงพยาบาลตำรวจ
สาเหตุที่ต้องตรวจทั้งหมด 3 ครั้ง เพราะว่าจากการผลการตรวจครั้งแรกนั้น
ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้
ผู้ปกครองติดใจจึงได้ร้องขอให้มีการประสงค์ตรวจอีกครั้ง
การที่แพทย์บอกว่าไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้นั้น
ก็ต้องชี้แจ้งให้ได้ว่าเพราะอะไร
ต้องเอาข้อสันนิษฐานและข้อเท็จจริงแยกจากกัน ไม่ใช่ตั้งข้อสันนิษฐานว่า
เด็กขาดน้ำ เพราะเห็นว่าอากาศร้อน กับขาดน้ำเพราะพยาธิสภาพของศพบอก
มันต่างกัน
บางคนสันนิษฐานว่า เด็กเดินขึ้นไปเองได้หรือไม่
ต้องย้อนกลับว่าวิสัยเด็กนั้นเคยเดินขึ้นไปหรือไม่ แต่ถ้าคิดไปเฉยๆ
ไม่มีคำอธิบายประกอบ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“นิติวิทยาศาสตร์ไม่ได้แปลว่ามีแค่นี้แล้วจะลงโทษใครได้ เราทำงาน
ไม่ได้ทำเพื่อจะจับใคร เราทำเพื่อหวังผลในการดำเนินคดีในชั้นศาล
การสืบสวนไม่ได้มองว่า แพ้หรือชนะในคดี เราจะระมัดระวังเรื่องพวกนี้มาก
เพราะหากตำรวจแพ้มักถูกบอกว่าจับแพะ จึงต้องดูทุกอย่างประกอบกัน
ต้องดูทั้งเหตุและผล ถ้าเป็นข้อสันนิษฐาน อธิบายได้ก็เพียงพอ
ขอยืนยันว่า ไม่ได้ทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่เราทำตามกฎหมาย
หวังพิสูจน์ความจริง วันนี้ถ้าไม่สามารถหาข้อเท็จจริงได้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง
มีการบอกว่า จับคนร้ายไม่ได้ไม่กลับ ยืนยันว่า
ผมพูดเพื่อให้ลูกน้องเดินหน้าหาหลักฐานให้เต็มที่
เป็นคำมั่นสัญญาให้กับลูกน้องในการทำงาน แต่ถึงวันหนึ่งไม่ได้ก็ต้องไม่ได้
การสืบสวนสอบสวนไม่จำเป็นต้องจำผู้ร้ายได้ทุกเรื่อง
ตำรวจไม่ได้มีความกดดันซึ่งการที่จับผู้ร้ายไม่ได้เป็นเรื่องปกติ
สามารถพักสอบได้ แต่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ กมธ.ได้ตั้งข้อซักถามในประเด็น ตรวจดีเอ็นเอ
ของคนในหมู่บ้านจำนวนมาก และการชันสูตรศพ ที่มีข้อมูลไม่ตรงกัน โดย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ อธิบายว่า คดีดังกล่าวได้เก็บDNA จำนวน 115 ราย
โดยได้ทำตามขั้นตอนและกฎหมาย เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ตำรวจไม่เคยใช้คำว่าผู้ต้องสงสัย แต่ตรวจเพื่อให้คลายข้อสงสัย
แต่ทุกวันนี้เมื่อเจ้าหน้าที่ไปคุยกับใคร สื่อบางแห่งก็ตามไปจ่อไมค์ถาม
กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในสังคมไป ยืนยันว่าเราเดินตามกรอบของกฎหมาย
“เรื่องผลการชันสูตรศพ สาเหตุที่ต้องชันสูตร2ครั้ง
พนักงานสอบสวนได้พบญาติที่ติดใจสงสัย
ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นระบุสาเหตุการตายได้หรือไม่
ซึ่งไม่เสียหายที่เราจะฟังความเห็นมากกว่าหนึ่ง
แต่คำของผู้เชี่ยวชาญต้องมีคำอธิบายประกอบด้วย
โดยไม่มีใครสรุปว่า มีการล่วงละเมิด ยังไม่มีใครสรุปแบบนั้น
แต่จำเป็นต้องยืนยันคำสรุปครั้งแรก โดยการชันสูตรครั้งสองอาจมีการปนเปื้อ
หรือ ฉีกขาด ได้จึงจำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม ต้องฟังด้วยวิจารญาณ
อย่าด่วนสรุป ทุกวันนี้สรุปเอาเองทั้งนั้น” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว.